BMW เผยว่า กำลังพัฒนาเทคโนโลยีระบบไฟฟ้าและการกักเก็บพลังงานที่ทำให้รถสามารถขับเคลื่อนได้ไกลถึง 453 ไมล์หรือราว 700 กม.
ระบบขับเคลื่อนรุ่นใหม่นี้ที่การทำงานระหว่างมอเตอร์ ระบบส่งกำลัง แบตเตอรี่ อุปกรณ์อิเลกทรอนิกส์
BMW ให้ข้อมูลเกี่ยวกับระบบขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้าเจนเนอเรชั่นที่ 5 ซึ่งจะเริ่มใช้งานอย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี 2021 เป็นต้นไป ค่ายรถยักษ์เยอรมันระบุว่า ระบบขับเคลื่อนรุ่นใหม่นี้มีการทำงานระหว่างมอเตอร์ ระบบส่งกำลัง แบตเตอรี่ และอุปกรณ์อิเลกทรอนิกส์ที่พัฒนาให้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้นแบบมากขึ้น เป็นการต่อยอดจากระบบปลั๊กอินไฮบริดที่ล้ำสมัยซึ่งสามารถขับขี่ด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ ได้ไกลถึง 100 กม. ซึ่งเหนือกว่ารถปลั๊กอินไฮบริดในปัจจุบันอย่าง 530อี ไอเพอร์ฟอร์แมนซ์ (530e iPerformance) ที่มีระยะทางของระบบไฟฟ้าเพียง 50 กม. การพัฒนาดังกล่าวเกิดขึ้นภายใต้กลยุทธ์ NUMBER ONE > NEXT ของ BMW
จะเร่งติดตั้งระบบปลั๊กอินไฮบริดและไฟฟ้าไว้ในรถ 25 รุ่นของเครือบีเอ็มดับเบิลยู ฮาราลด์ ครูเกอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบีเอ็มดับเบิลยูกล่าวยืนยันการผลิตรถต้นแบบไอ วิชั่น ไดนามิกส์ออกจำหน่ายจริงในอีกไม่ช้า “เราจะผลิตรถรุ่นนี้ที่โรงงานในเมืองมิวนิค ซึ่งเน้นย้ำว่าเราให้ความสำคัญกับเมืองนี้ที่เป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของเรา” ระบบขับเคลื่อนดังกล่าวจะสามารถใช้ได้ทั้งรถขับเคลื่อนล้อหน้า ล้อหลัง และสี่ล้อ และทางค่าย BMW มีแผนเริ่มผลิตรถยนต์ไฟฟ้าล็อตแรกกับแบรนด์มินิในปี 2019 ก่อนที่จะส่ง BMW X3 พลังงานไฟฟ้าตามออกมาในปี 2020
การทำงานของระบบนี้เป็นการผนวกรวมมอเตอร์ ระบบส่งกำลัง และอุปกรณ์อิเลกทรอนิกเข้าไว้ด้วยกันเป็นหน่วยขับเคลื่อนที่รวมกันเป็นหนึ่งเดียวปรับให้มีขนาดเล็กลงจะมีน้ำหนักเบาลงเมื่อเทียบกับระบบขับเคลื่อนในปัจจุบัน ขณะเดียวกันก็มีการออกแบบที่ยืดหยุ่นโมดูลาร์จำทำให้ช่วยประหยัดต้นทุนได้อีกด้วย โดยสามารถใช้งานระบบขับเคลื่อนแบบใหม่นี้ได้กับรถยนต์ที่ต้องการพละกำลังหลากหลายระดับ ในอนาคตอันใกล้ ค่าย BMW กรุ๊ปยัง,มีการวางแผนเพื่อเปิดตัวรถรุ่นใหม่และรุ่นปรับโฉมอีก 40 รุ่น ซึ่งครอบคลุมถึงรถพรีเมียมอย่าง BMW series 8 และ BMW X7 ด้วย
ดูเพิ่มเติม :
>>BMW ทุ่มลงทุนวิจัยแบตเตอรี่ พัฒนารถยนต์ไฟฟ้า
ดูเพิ่มเติมราคา BMW Z4 มือสองที่มีขายในประเทศไทย
ที่มา : thainews