โตโยต้าชี้ผลวิจัย โปรแกรมลดภาระค่าใช้จ่าย 40-50% ช่วยคนตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น

ตลาดรถยนต์ในประเทศ | 26 ก.ย 2560
แชร์ 0

โตโยต้าปรับวิธีตั้งราคา นำค่าใช้จ่ายไปไว้ในยอดผ่อน

โตโยต้าปรับวิธีตั้งราคา นำค่าใช้จ่ายไปไว้ในยอดผ่อน

โตโยต้าปรับวิธีตั้งราคา นำค่าใช้จ่ายไปไว้ในยอดผ่อน

นายสุรศักดิ์ สุทองวัน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ประเทศไทย เปิดเผยว่า ได้ปรับนโยบายในการตั้งราคาจำหน่ายรถยนต์ทุกรุ่นใหม่ โดยนำค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง เช่น ค่าประกันไปไว้ในยอดผ่อนต่อเดือน และเพิ่มความปลอดภัยให้คุ้มค่า เช่น เพิ่มถุงลมนิรภัย 7 ลูก เพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดได้

นายสุรศักดิ์ ยังกล่าวเพิ่มอีกว่า "จากการสำรวจความเห็นของผู้แทนจำหน่าย (ดีลเลอร์) พบว่า ผู้บริโภคสะท้อนความต้องการในด้านสมรรถนะการขับขี่และความพรีเมียม  บริษัทจึงเล็งเห็นการนำเสนอผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการ พร้อมทั้งสร้างจุดเด่นให้มีความแตกต่างให้กับผลิตภัณฑ์ของบริษัท"

เพราะฉะนั้น การพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่สำหรับประเทศไทยหลังจากนี้ของโตโยต้า จะมุ่งเน้นด้านสมรรถนะการขับขี่และความภาคภูมิใจในการขับขี่ที่มีความเป็นพรีเมียมยิ่งขึ้น ก่อนจะเข้าสู่การพัฒนาเต็มรูปแบบของแพลตฟอร์มสำหรับรถยนต์นั่งขนาดเล็กรุ่นใหม่ (Toyota New Global Architecture)

โตโยต้า ยาริส เอทีฟ

โตโยต้า ยาริส เอทีฟ

ปัจจุบันการแข่งขันของตลาดรถยนต์จะมุ่งเน้นในด้านดีไซน์ที่โดดเด่น แต่การพัฒนาด้านสมรรถนะทั้งในการขับขี่และความปลอดภัยเป็นสิ่งที่บริษัทเสริมให้กับผู้บริโภคที่มากกว่าคู่แข่งในตลาด ซึ่งทิศทางการพัฒนารถยนต์ของบริษัทหลังจากนี้จะยึดถือแนวทางปฏิบัติดังกล่าว โดยใช้ โตโยต้า ยาริส เอทีฟ เป็นรุ่นต้นแบบที่เน้นสมรรถนะและความคุ้มค่าเพื่อนำไปสู่การพัฒนารุ่นต่อไป

นอกจากนี้ จากผลวิจัยของบริษัทล่าสุดที่สำรวจการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคในการทำกิจกรรมส่งเสริมการขายที่นำเอาโปรแกรม คอนวินิ-เอ็กซ์ (Convini-EXT) ซึ่งนำค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องไปไว้ในยอดผ่อนต่อเดือน หรืออยู่ในยอดจัดซื้อของสถาบันการเงิน (ไฟแนนซ์) พบว่า 40-50% ของผู้ตอบแบบสอบถามยอมรับว่ามีผลต่อการตัดสินใจซื้อได้ง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างพิจารณานำโปรแกรมดังกล่าวไปใช้กับรถยนต์รุ่นอื่นๆ ของบริษัท

สำหรับ โตโยต้า ยาริส เอทีฟ ที่เปิดตัวเมื่อวันที่ 15 ส.ค. จนถึงปัจจุบันมียอดจองอยู่ที่ 6,700 คัน จากเป้าหมายที่วางไว้ 4,700 คัน/เดือน เชื่อว่าจะส่งผลให้ส่วนแบ่งทางตลาดอีโคคาร์ของบริษัทเพิ่มจาก 36% เป็น 40% จากการเปิดตัวรถยนต์ในกลุ่มอีโคคาร์ทั้งในรุ่น 4 ประตู และ 5 ประตู