ระหว่างรถไฮบริดกับรถไฟฟ้า ควรซื้อแบบใด?
ในปัจจุบันหลายคนมองว่ารถไฮบริดเป็นเพียงทางผ่านไปสู่รถไฟฟ้าล้วนในอนาคต จึงเลือกที่จะมองข้ามไปแล้วรอให้ถึงวันที่รถไฟฟ้าสามารถทำตลาดในเชิง Mass production แบบเดียวกับรถเครื่องยนต์สันดาปภายในปัจจุบัน แต่จริงๆแล้วรถยนต์ไฮบริดยังมีข้อดีที่เหนือกว่ารถไฟฟ้าด้วยซ้ำไป มาดูกันครับว่า ข้อดีของรถไฮบริดที่เหนือกว่ารถไฟฟ้า จะมีอะไรบ้าง?
ควรซื้อรถไฮบริดมากกว่ารถไฟฟ้า
1.ราคาจำหน่ายถูกปรับลดลงมาจนสามารถเป็นเจ้าของได้ง่าย
ราคาจำหน่ายรถยนต์ไฮบริดและปลั๊กอินไฮบริดในปัจจุบันถูกปรับลดลงมาจนสามารถเป็นเจ้าของได้ง่ายเมื่อเทียบกับรถยนต์ไฟฟ้า ยกตัวอย่างรถยนต์ไฮบริดระดับ D-segment จากญี่ปุ่น สามารถซื้อหาได้ในราคาราว 1 ล้านบาทกลาง หรือรถปลั๊กอินไฮบริดจากยุโรปก็จะมีราคาเริ่มต้นราว 2 ล้านบาทกลางเท่านั้น ส่วนรถไฟฟ้าแม้ว่าจะยังไม่มีผู้ผลิตรายใดทำตลาดในบ้านเราอย่างจริงจัง แต่ก็เคยมีค่ายยุโรปหรูนำเอาซิตี้คาร์ไฟฟ้าเข้ามาจำหน่ายด้วยราคาสูงกว่า 3 ล้านบาทเลยครับ
2.บำรุงรักษาไม่ต่างจากเครื่องยนต์ปกติ
การบำรุงรักษารถยนต์ไฮบริดและปลั๊กอินไฮบริดมีรายละเอียดไม่ต่างจากเครื่องยนต์สันดาปภายในเท่าใดนัก ศูนย์บริการในบ้านเรามีความรู้ความเชี่ยวชาญเพียงพอที่จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ รวมถึงราคาแบตเตอรี่ในอนาคตก็มีแนวโน้มลดลงไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น การเลือกรถยนต์ไฮบริดจึงไม่เป็นที่น่ากังวลเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไป
แม้ว่ารถยนต์ ไฮบริดและปลั๊กอินไฮบริด จะยังคงต้องพึ่งพาเชื้อเพลิงน้ำมันเหมือนกับรถยนต์สันดาปภายใน แต่ก็ให้ความประหยัดแตกต่างกันอย่างชัดเจนทั้งในเมืองและนอกเมือง แถมยังขับได้สบายใจกว่ารถไฟฟ้า เพราะไม่ต้องกังวลว่าแบตเตอรี่จะหมดกลางทางอีกด้วยครับ
>>> Volvo S90 T8 Inscription 2017 ปลั๊กอินไฮบริดใหม่ล่าสุด เริ่มวางจำหน่ายในไทยแล้ว
3.ไร้ปัญหาเรื่องการชาร์จไฟ
รถยนต์แบบไฮบริด และปลั๊กอินไฮบริด มีจุดเด่นที่เหนือกว่ารถไฟฟ้า (EV) ตรงที่ไม่จำเป็นต้องชาร์จไฟเป็นประจำ เนื่องจากเครื่องยนต์ที่ติดตั้งในรถไฮบริดและรถปลั๊กอินไฮบริดสามารถสร้างกระแสไฟเพื่อเก็บไว้ในแบตเตอรี่ได้อยู่แล้ว ซึ่งในกรณีรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด ที่มีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่กว่ารถไฮบริดปกตินั้น หากไม่ทำการชาร์จประจุไฟ ก็ยังคงสามารถใช้งานได้เหมือนกับรถไฮบริดปกติทุกประการ แต่หากขยันชาร์ทไฟเป็นประจำ ก็จะได้ความประหยัดเพิ่มขึ้น ต่างจากรถยนต์ไฟฟ้า EV ที่จำเป็นต้องชาร์จไฟเป็นประจำ และยังต้องใช้ระยะเวลาชาร์จค่อนข้างนาน หากวันไหนกลับบ้านแล้วเผลอลืมชาร์จ อาจไม่มีประจุไปเพียงพอสำหรับใช้งานในวันต่อไปอีกก็เป็นได้นะครับ
4. ไม่ต้องหยุดชาร์จไฟระหว่างทาง
รถยนต์ไฮบริดและปลั๊กอินไฮบริดสามารถเดินทางไปได้ทุกที่โดยไม่จำเป็นต้องหยุดชาร์จไฟระหว่างทาง แต่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า EV หากต้องเดินทางเป็นระยะทางไกล ก็จำเป็นต้องหยุดชาร์จไฟเพื่อให้ขับขี่ต่อไปได้ แม้ว่าปัจจุบันในต่างประเทศจะมีสถานีชาร์จด่วนสำหรับรถไฟฟ้า แต่ต้องใช้เวลา 30-40 นาทีในการชาร์จแต่ละครั้ง เพื่อให้ปริมาณไฟเพียงพอสำหรับเดินทางต่อไป
5.ชาร์จไฟเต็มเร็วกว่า
รถยนต์ประเภท ปลั๊กอินไฮบริด ติดตั้งแบตเตอรี่ขนาดเล็กกว่ารถไฟฟ้า EV มาก จึงสามารถชาร์จไฟได้เร็วกว่าอยู่ที่ประมาณ 2 - 4 ชั่วโมง ด้วยไฟบ้านปกติเท่านั้น
ทั้ง 5 ข้อที่กล่าวมาข้างต้นถือเป็นข้อได้เปรียบของรถไฮบริดที่ควรพิจารณาไว้นะครับ
>>> อ่านเพิ่มเติม:
>>> Toyota เคาะลงทุนไฮบริด ในช่วงเดือน พ.ค.นี้
>>> BMW ประเทศไทย เปิดตัว BMW 330e M Sport พร้อมเทคโนโลยีปลั๊กอิน ไฮบริด