'สามารถ ราชพลสิทธิ์' แนะให้ กทม.ทวงกรรมสิทธิ์รถ BRT คืน จากบีทีเอส นำมาให้เช่าบริการรับส่งผู้โดยสาร แก้ปัญหาขาด

Facebook 'สามารถ ราชพลสิทธิ์' แนะให้ กทม.ทวงกรรมสิทธิ์รถ BRT คืน จากบีทีเอส นำมาให้เช่าบริการรับส่งผู้โดยสาร แก้ปัญหาขาดทุน

นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองผู้ว่าฯกทม.และอดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว กรณีที่ กทม.ได้ทำการยกเลิกการประมูลบีอาร์ที หลังมีการท้วงติง และขอให้มีการทวงคืนกรรมสิทธิ์ รถบีอาร์ที อีกด้วย โดยระบุว่า ตนขอชื่นชม ผู้ว่าฯ กทม.ในการตัดสินใจครั้งนี้ และขอถือโอกาสนี้เสนอให้พิจารณาดำเนินการดังต่อไปนี้
  1. ให้บีทีเอส คืนกรรมสิทธิ์รถบีอาร์ทีทั้งหมดให้ กทม. เพราะกทม.เป็นผู้ซื้อรถบีอาร์ที ในปี พ.ศ.2553 โดยใช้เงินทั้งสิ้นของกทม.  ดังนั้น กทม.จะต้องเป็นเจ้าของรถบีอาร์ที ไม่ใช่บีทีเอส กล่าวคือ กทม.ได้ผ่อนชำระค่ารถบีอาร์ทีจำนวน 25 คัน เป็นเวลา 7 ปี รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 213,053,076 บาท หรือคันละประมาณ 8.52 ล้านบาท ซึ่งเป็นราคาที่แพงมากเมื่อเปรียบเทียบราคารถบีอาร์ที กับรถเมล์เอ็นจีวีที่องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กำลังจัดซื้อ โดยรถทั้งสองประเภทนี้มีสเปกที่ใกล้เคียงกันมาก ในขณะที่รถเมล์เอ็นจีวี มีราคาเท่ากับ 3.55 ล้านบาท/คัน รถบีอาร์ทีควรมีราคากลางในปี พ.ศ.2553 อยู่ที่ 4.15 ล้านบาทต่อคัน กรณี กทม.ต้องผ่อนชำระเป็นเวลา 7 ปี หากคิดอัตราดอกเบี้ย 7% ต่อปี จะทำให้ราคารถรวมดอกเบี้ยเป็น 6.18 ล้านบาทต่อคัน ซึ่งต่ำกว่าราคาที่กทม.ซื้อถึง 2.34 ล้านบาทต่อคัน (8.52-6.18) น่าเจ็บใจมั้ยครับ ซื้อแพงแล้วแต่กลับไม่ได้เป็นเจ้าของรถอีก
2. เมื่อกทม.ได้เป็นเจ้าของรถบีอาร์ทีทั้งหมดแล้ว กทม.สามารถเปิดเพื่อให้เช่ารถไปใช้ให้บริการรับส่งผู้โดยสารได้ ด้วยเหตุนี้ จึงไม่จำเป็นจะต้องระบุไว้ในทีโออาร์ข้อ 9.6 ว่า “ผู้รับสิทธิจะต้องจัดให้มีรถโดยสารอย่างน้อย 25 คัน” ซึ่งก่อให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้เข้าร่วมประมูลทุกราย สามารถมั่นใจได้ว่า การดำเนินการตามข้อเสนอดังกล่าวข้างต้นนั้นไม่เกินความสามารถของผู้ว่าฯ กทม. ซึ่งจะช่วยลดภาระการขาดทุนของกทม.ได้ และที่สำคัญ จะทำให้ผู้โดยสารได้รับการบริการที่ดีและเหมาะสมกับค่าโดยสารอีกด้วย
 
ติดตามข่าววงการยานยนต์ได้ ที่นี่