การคิดภาษีรถยนต์ในประเทศไทย แบ่งออกเป็น 2 กรณี ดังต่อไปนี้
การคิดภาษีรถยนต์ในประเทศไทย
- กรณีที่ 1 รถนำเข้าสำเร็จรูปจากต่างประเทศ
การคิดภาษีสำหรับรถนำเข้านั้น จะคิดจากราคา CIF (Cost + Insurance + Freight) คือ
ราคาขายของรถ + ค่าอากร + ค่าประกันภัย + ค่าขนส่งจากต่างประเทศ
เมื่อมาถึงท่าเรือที่ประเทศไทย ราคา CIF นี้ จะถูกระบุไว้ในเอกสารการนำเข้า สมมุติให้ราคา CIF เท่ากับ 100 บาท ภาษีที่ต้องจ่าย จะประกอบด้วย
1.
อากรขาเข้า คือ ภาษีแรกที่ผู้นำเข้าต้องจ่าย ณ ท่าเรือ ก่อนที่จะนำรถออกจากท่าเรือ เข้ามาในประเทศ ในอัตรา 80% ของราคา CIF = 80 บาท
2.
ภาษีสรรพสามิต โดยกรมศุลกากรจะทำการเก็บภาษีนี้ พร้อมกับอากรขาเข้า ในอัตราต่างกันตั้งแต่ 30-50% ขึ้นอยู่กับความจุกระบอกสูบ หรือขนาดเครื่องยนต์ เช่น รถยนต์ขนาดไม่เกิน 2000 ซีซี ถูกจัดเก็บในอัตรา 30%ของราคา CIF รวมกับภาษีอากรขาเข้า โดยใช้สูตรการคำนวณ คือ
= {(100+80)x30%}
1 – (1.1x30%)
3.
ภาษีมหาดไทย คือ ภาษีนี้จะถูกนำไปบริหารประเทศโดยกระทรวงมหาดไทย ซึ่งภาษีมหาดไทยจะคิดที่อัตรา 10% ของภาษีสรรพสามิต เพื่อส่งให้กระทรวงมหาดไทย
4.
ภาษีมูลค่าเพิ่ม ในอัตรา 7% ของราคา CIF + อากรขาเข้า + ภาษีสรรพสามิต + ภาษีมหาดไทย
ซึ่งเมื่อรวมภาษีทั้ง 4 ชนิดเข้าด้วยกันแล้วจากราคารถ สมมุติที่ 100 บาทจะกลายเป็น 287.5-428.0 บาท(ขึ้นอยู่กับความจุกระบอกสูบ) มูลค่าดังกล่าวนี้ยังไม่รวมอัตรากำไร และค่าดำเนินการอื่นๆ ของบริษัทผู้จำหน่ายอีก ดังนั้น จึงไม่แปลก ที่เราจะเห็นรถราคา 1 ล้านในเมืองนอก มาขายที่บ้านเราในราคา 3-4 ล้านบาท
- กรณีที่ 2 รถที่ผลิตในประเทศไทย
กรณีนี้ ผู้ผลิตจะนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์จากต่างประเทศเป็นบางรายการ ซึ่งปริมาณและสัดส่วนการนำเข้าขึ้นอยู่กับนโยบายของบริษัทผู้ผลิต โดยรถแต่ละรุ่น ภาระภาษีของผู้ผลิตจะมีความแตกต่างกัน จากการนำเข้ารถทั้งคัน ดังนี้
1.
อากรขาเข้า จะถูกจัดเก็บตามอัตราที่กรมศุลกากรกำหนด โดยขึ้นอยู่กับชนิด หรือพิกัดของชิ้นส่วนนั้น ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 30% ของราคา CIF แต่ถ้าใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศทั้งหมด ก็จะไม่เสียภาษีในส่วนนี้
2.
ภาษีสรรพสามิต ถูกจัดเก็บอัตราเดียวกับการนำเข้ารถทั้งคันจากต่างประเทศ โดยคำนวณจากราคาหน้าโรงงาน และกรมสรรพสามิตจะพิจารณาราคาหน้าโรงงานนี้ไม่ต่ำกว่า 76% ของราคาขายปลีกที่ขายให้กับผู้บริโภค กล่าวคือ ถ้าราคาขายปลีกอยู่ที่ 100 บาท (รถยนต์ไม่เกิน 2000 ซีซี) ก็จะใช้ราคาหน้าโรงงานที่ 76 บาท มาคำนวณตามสูตร เพื่อให้ได้ภาษีสรรพสามิต
= {(100+80)x30%}
1 – (1.1x30%)
3.
ภาษีมหาดไทย คิดที่อัตรา 10% ของภาษีสรรพสามิต เพื่อส่งให้กระทรวงมหาดไทย
4.
ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% เหมือนกรณีที่ 1
ภาษีรถยนต์
สมมุติให้รถขนาดไม่เกิน 2,000 ซีซี ราคารถหน้าโรงงานอยู่ที่ 100 บาท ภาษีสรรพสามิตก็จะอยู่ที่ 80.60 บาท บวกด้วยภาษีมหาดไทย 8.1 บาทและภาษีมูลค่าเพิ่ม 13.2 บาท ก็จะได้ราคาขายปลีกเท่ากับ 201.9 บาท คือ รถที่ผลิตในประเทศจะมีมูลค่าประมาณ 40-70% ของราคาขายปลีก ซึ่งจะขึ้นอยู่กับขนาดของเครื่องยนต์ และยิ่งปริมาตรกระบอกสูบมาก มูลค่าภาษีก็ยิ่งสูงตาม
เช่น ถ้าซื้อรถที่ผลิตในประเทศ เครื่องยนต์ 1800 ซีซี ในราคา 7 แสนบาท หมายความว่า เราได้จ่ายภาษีให้รัฐประมาณ 2.8-3 แสนบาท
ในขณะที่ภาษีรวมของรถนำเข้า จะคิดจากราคาขายปลีกไม่ได้ เพราะยังไม่ได้รวมกำไรและค่าดำเนินการของผู้นำเข้า ดังนั้นต้องคิดจากราคาทุน ซึ่งมูลค่าภาษีอยู่ที่ประมาณ 200-300 % ของราคาต้นทุน
เช่น ถ้ารถราคา 1 ล้านบาทในต่างประเทศ เมื่อนำเข้ามาขายที่เมืองไทย ต้องเสียภาษีรวมประมาณ 2 ล้านบาท ดังนั้น ผู้นำเข้าจึงต้องขายที่ราคา 3 ล้านขึ้นไปเพราะต้นทุนภาระภาษีที่สูงนี่เอง
เราลองมาคำนวณคร่าวๆ กันครับ เราถ้าซื้อรถราคา 4 แสน สมมุติค่าส่ง 50,000
- ราคา C.I.F. เป็น 450,000
- อากรขาเข้า 80% = 360,000
- ภาษีสรรสามิตร = (450,000+360,000) x 50% / 1-(1.1×50%) = 900,000
- ภาษีมหาดไทย 10% = 90,000 รวม 1,800,000 บาท
- VAT 7% = 126,000 ดังนั้นราคารถ = 1,926,000 บาท
สรุป
-รถเกิน 3000 cc ภาษีทั้งหมด 328% ของราคา CIF
-2501 cc – 3000 cc ภาษีทั้งหมด 243.94% ของราคา CIF
-2001 cc – 2500 cc ภาษีทั้งหมด 213.171% ของราคา CIF
-ไม่เกิน 2000cc ภาษีทั้งหมด 187.47% ของราคา CIF
>> ดูเพิ่มเติม:
ฤกษ์ออกรถ มิถุนายน 2560
4 วิธีดูเลขทะเบียนรถมงคล เสริมดวง เลี่ยงอุบัติเหตุ
5 เหตุผลที่รถมือสองน่าซื้อกว่า