26 มีนาคม 2024 ฮอนด้า ออโตโมบิล ประเทศไทย เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า Honda e:N1 ปี 2024 ผลิตในประเทศไทย กำลัง 204 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 310 นิวตันเมตร แบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ความจุ 68.8 กิโลวัตต์-ชั่วโมง (kWh) เคลมระยะวิ่ง 500 กิโลเมตร มาตรฐาน NEDC เปิดในรูปแบบธุรกิจให้เช่าผ่านตัวแทน เช่าระยะยาว 5 ปี เบื้องต้นค่าเช่าประมาณเดือนละ 29,500 บาท ข้อมูลจาก orix
Honda e:N1 มีให้เลือก1 รุ่นย่อย มาพร้อม สีภายนอก 1 สี ได้แก่ สีขาวพรีเมียมซันไลท์ (มุก) เปิดบริการผ่านบริษัทรถเช่า
การเช่า Honda e:N1 จะให้บริการสำหรับลูกค้าองค์กรเท่านั้น เป็นเงื่อนไขเช่าระยะยาว 5 ปี ราคาเช่าเบื้องต้น 29,500 บาทต่อเดือนข้อมูลจาก ไทยโอริกซ์ลีสซิ่ง จำกัด
ฮอนด้า อี:เอ็น 1 (Honda e:N1) เอสยูวีไฟฟ้า 100% รุ่นแรกที่ผลิตในประเทศไทย มาพร้อมขุมพลังไฟฟ้าตอบสนองได้อย่างรวดเร็วทันใจจากการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ 3-in-1 (Motor, Power Drive Unit และ Gearbox)
อ่านเพิ่มเติม - ฮอนด้า ขึ้นไลน์ประกอบ Honda e:N1 เอสยูวีพลังงานไฟฟ้า 100% ในไทย
Honda e:N1 พัฒนาภายใต้แนวคิดการออกแบบที่คำนึงถึงผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง (Human-centered Development) โดยมุ่งเน้นการมอบประสบการณ์การขับขี่ที่สนุกสนานอันเป็นเอกลักษณ์ของฮอนด้า มาพร้อม แพลตฟอร์ม e:N Architecture F แพลตฟอร์มที่รองรับการขับเคลื่อนด้วยล้อหน้าที่มีประสิทธิภาพสูงจากฮอนด้า
กำลังมอเตอร์ไฟฟ้า 204 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 310 นิวตัน-เมตร ที่ผสานการทำงานร่วมกับแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ความจุ 68.8 กิโลวัตต์-ชั่วโมง (kWh) ส่งผลให้สามารถวิ่งได้ระยะทางสูงสุดถึง 500 กิโลเมตร (มาตรฐาน NEDC) ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง
จุดชาร์จแบตเตอรี่ไฟฟ้าอยู่บริเวณกระจังหน้าของตัวรถใต้โลโก้ H Mark จะมีปุ่มสีดำด้านหน้าเพื่อกดเปิดจุดชาร์จ ซึ่งสามารถรองรับหัวชาร์จ แบบ DC CCS 2 และแบบ AC Type 2 มาพร้อมไฟสีต่าง ๆ แสดงสถานะการชาร์จ
ขณะกำลังชาร์จไฟ แถบไฟแนวนอนจะกะพริบเบา ๆ จากซ้ายไปขวาอย่างมีชีวิตชีวา และเมื่อชาร์จเสร็จ แถบชาร์จจะสว่างอยู่ตลอดเพื่อให้รู้ว่า แบตเตอรี่ชาร์จเต็มแล้ว นอกจากนี้ หากเกิดข้อผิดพลาดในการชาร์จ จะมีไฟสีแดงกะพริบ เมื่อชาร์จเสร็จและถอดสายไฟออก รถจะส่งสัญญาณไฟกะพริบเพื่อแสดงสถานะว่าได้ถอดสายชาร์จออกแล้ว
Drive Mode มีให้เลือก 3 โหมด ได้แก่
โลโก้ H Mark ใหม่ สไตล์พรีเมียมมินิมอล ที่จะเป็นสัญลักษณ์ของยนตรกรรมไฟฟ้าของฮอนด้า ที่มาพร้อมกับคำว่า Honda ภายใต้ฟอนต์ใหม่ที่ด้านหลังของตัวรถ ระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ ไฟหน้าและไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED ไฟเลี้ยวด้านหน้าแบบ LED Sequential ไฟท้ายแบบ LED Light Strip สี Smoke
ระบบปัดน้ำฝนด้านหน้าแบบอัตโนมัติ และระบบปัดน้ำฝนด้านหลังแบบหน่วงเวลา สปอยเลอร์หลังแบบสปอร์ต เสาอากาศครีบฉลาม ไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบ LED กระจกมองข้างปรับไฟฟ้า พร้อมพับเก็บอัตโนมัติ กระจกมองข้างด้านซ้ายปรับลดอัตโนมัติเมื่อถอยหลัง และล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ต ขนาด 18 นิ้ว
การตกแต่งภายในระดับพรีเมียมมินิมอล ไฟสร้างบรรยากาศภายในสีฟ้า การพับเบาะนั่งผู้โดยสารด้านหลังแบบ 60:40 ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 15.1 นิ้วแบบ Advanced Touch ที่รองรับ Apple CarPlay แบบไร้สายและ Android Auto ช่องเชื่อมต่อ USB 4 ตำแหน่ง
อุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย มาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ขนาด 10.25 นิ้ว พร้อมด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง (Honda SENSING) อีกทั้งเทคโนโลยีการขับขี่และความปลอดภัยอันล้ำสมัย อาทิ ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง (Blind Spot Information – BSI) ระบบเตือนเมื่อมีรถผ่านขณะถอย (Cross Traffic Monitor – CTM) กล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมอง 3 ระดับ (Multi-angle Rearview Camera) เซนเซอร์กะระยะ 8 จุด (8-position Parking Sensors) ระบบช่วยชะลอความเร็วรถที่พวงมาลัย (Deceleration Paddle Selectors) ระบบเบรกมือไฟฟ้า (Electric Parking Brake) และระบบ Auto Brake Hold
ฮอนด้า อี:เอ็น 1 (Honda e:N1) เทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง (Honda SENSING) และฟีเจอร์ความปลอดภัย
สามารถเชื่อมต่อ ฮอนด้า คอนเนค (Honda CONNECT) ทำงานผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟน ประกอบด้วย 9 ฟังก์ชันหลัก ได้แก่
ตลาดรถมือสอง มีรถมากมายให้เลือกในราคาที่ถูกใจ