รวมขุมพล 5 สุดยอดรถยนต์ 2 ประตูที่เหมาะกับการเป็นเจ้าของ!

ประสบการณ์ใช้รถ | 8 เม.ย 2562
แชร์ 3

อย่างที่ทราบกันว่ารถ 2 ประตูมักจะเป็นหนึ่งในรุ่นย่อยของตลาดรถยนต์ในต่างประเทศ และมักอยู่ในกลุ่มรถยนต์ Super Car วันนี้ Chobrod เลยจะมาแนะนำ 5 สุดยอดขุนพลของรถยนต์ 2 ประตูที่เหมาะกับการเป็นเจ้าของ โดยไม่ได้มีดีแค่สมรรถนะที่แข็งแกร่ง ดุดันเท่านั้น แต่ยังมีดีไซน์ที่สวยงามสมเป็น Super Car ด้วย จะมีรุ่นอะไรบ้างมาดูกันค่ะ

สุดยอด Super Car 2 ประตู ที่เหมาะกับการเป็นเจ้าของ

สุดยอด Super Car 2 ประตู ที่เหมาะกับการเป็นเจ้าของ

สำหรับกลุ่มรถยนต์ 2 ประตู เป็นรถยนต์ที่มีการจัดวางเครื่องยนต์ไว้ที่ช่วงตัวรถด้านหน้า คล้ายกับรถยนต์ประเภทซีดาน และแฮชต์แบ็ค โดยมีที่มาจากรถม้าที่มีการตัดส่วนที่นั่งผู้โดยสารแถวแรกออกไป แต่สำหรับรถยนต์ 2 ประตูนั้น เป็นการตัดที่นั่งส่วนของผู้โดยสารแถวหลังออก หรือมีที่นั่งด้านหลังขนาดไม่กว้างมากนัก ทำให้ส่วนหน้าของตัวรถมีความยาวมากกว่าส่วนหลัง โดยรถยนต์แบบ 2 ประตูไม่เพียงแต่อยู่ในกลุ่มของรถยนต์ Super Car และรถยนต์เพอร์ฟอร์เมนซ์เท่านั้น แต่ยังเป็นอีกหนึ่งรุ่นย่อยของรถยนต์นั่งอีกด้วย

 5 รุ่นของรถ Super Car ที่เหมาะกับการเป็นเจ้าของ

1. Nissan GT-R

Nissan GT-R สุดยอด Super Car ในสนามแข่งระดับตำนาน

Nissan GT-R สุดยอด Super Car ในสนามแข่งระดับตำนาน

Nissan GT-R ถูกนำเข้ามาในจำหน่ายประเทศไทยเมื่อปี 2018 ที่ผ่านมา โดยรุ่นที่มีจำหน่ายในประเทศไทยคือ Nissan GT-R Premium Edition 2018 ใหม่ ที่ชูจุดเด่นซุปเปอร์สปอร์ตคาร์ด้วยขุมพลัง V6 ขนาด 3.8 ลิตร ทวินเทอร์โบ 555 แรงม้า

Nissan GT-R Premium Edition 2018 (R35) ใหม่ ที่มีการจำหน่ายในประเทศไทย เป็นรถแกรนด์ทัวริ่งที่มีการจัดวางห้องโดยสารแบบ 2+2 ที่นั่ง ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน V6 รหัส VR38DETT ความจุ 3.8 ลิตร ทวินเทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 555 แรงม้า ที่ 6,800 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 632 นิวตัน-เมตร ที่ 3,300 - 5,800 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 6 สปีด สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้ภายในเวลาชั่วพริบตา เพียง 0.15 วินาทีเมื่ออยู่ในโหมด R-Mode ถ่ายกำลังลงพื้นด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ

ได้รับการออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ ที่มีประสิทธิภาพในการไหลเวียนอากาศสูง

ได้รับการออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ ที่มีประสิทธิภาพในการไหลเวียนอากาศสูง

โดยได้รับการออกแบบกระจังหน้าทรง V-motion และฝากระโปรงหน้าใหม่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการไหลเวียนอากาศ, กันชนหน้าติดตั้งดิฟฟิวเซอร์แบบคาร์บอน SMC, กันชนหลังติดตั้งดิฟฟิวเซอร์แบบคาร์บอนคอมโพสิท, ล้อฟอร์จอัลลอย Rays ซุปเปอร์ไลต์เวตขนาด 20 นิ้ว พร้อมยางรันแฟลต Dunlop SP Sport Maxx GT 600 DSST CTT ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับช่วงล่างโดยเฉพาะ

ความพิเศษของรุ่น Premium Edition คือมีการติดตั้งโช้คอัพบิลสไตน์ แดมพ์โทรนิก (Bilstein® DampTronic) ที่ผู้ขับขี่สามารถปรับตั้งได้ 3 โหมด คือ Normal, Comfort และ R โดยติดตั้งระบบเบรกของเบรมโบ (Brembo®) โมโนบล็อก แบบคาลิปเปอร์ 6 สูบที่ด้านหน้าและ 4 สูบที่ด้านหลัง พร้อมจานดิสก์เบรกของเบรมโบลอยตัวสองชิ้นแบบเจาะรูและเซาะร่องกลางจานขนาด 390 มิลลิเมตรที่ล้อหน้าและ 380 มิลลิเมตรที่ล้อหลัง

Nissan GT-R Premium Edition 2018 มีราคาจำหน่ายอยู่ที่ 13,500,000 บาท

Nissan GT-R Premium Edition 2018 มีราคาจำหน่ายอยู่ที่ 13,500,000 บาท

ภายในห้องโดยสารติดตั้งเบาะนั่งหุ้มวัสดุหนังปรับด้วยระบบไฟฟ้า แผงคอนโซลตกแต่งด้วยวัสดุหนังที่ตัดเย็บด้วยมือ, ติดตั้งหน้าจอ Display Command ขนาด 8 นิ้ว พร้อมเครื่องเสียง Bose รองรับ CD/MP3/AUX และ USB 2 ตำแหน่ง ขับกำลังเสียงผ่านลำโพง 11 ตัว พร้อมระบบนำทาง, พวงมาลัยหุ้มหนังแบบ 3 ก้าน พร้อมแป้นเปลี่ยนเกียร์ดีไซน์ใหม่, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ 2 โซน

Nissan GT-R Premium Edition 2018 มีราคาจำหน่ายอยู่ที่ 13,500,000 บาท สามารถเลือกสีภายในห้องโดยสารได้ 4 สี คือ Black Amber, Ivory, Saddle Tan และ Red Amber พร้อมกับสีตัวถังภายนอกทั้ง 6 สี ได้แก่ Katsura Orange, Vibrant Red, Pearl Black, Gun Metallic, Pearl White และ Pearl Blue

สนใจรถมือสอง Nissan GT-R ราคาถูกใจคุณเชิญที่นี่

2. Honda NSX

Honda NSX 2019 สุดยอดซูเปอร์คาร์ของ Honda มาพร้อมกับระบบไฮบริดคุณภาพสูง

Honda NSX 2019 สุดยอดซูเปอร์คาร์ของ Honda มาพร้อมกับระบบไฮบริดคุณภาพสูง​

Honda NSX 2019 สุดยอดซูเปอร์คาร์ของ Honda มาพร้อมกับระบบไฮบริดคุณภาพสูงโดยเปิดตัวไปในงาน Thailand Motor Expo 2018 ช่วงปลายปีที่ผ่านมา Honda NSX ออกแบบโดยการสืบทอดแนวคิด​ Human-Centered Super Car ด้วยตัวถังสีขาวผลิตจากวัสดุอะลูมิเนียมอัลลอยที่มีน้ำหนักเบา แต่ยังคงความแข็งแกร่งได้เป็นอย่างดี สามารถทนการบิดตัวได้สูง ดีไซน์ภายนอกมาพร้อมกับรูปทรงอันเฉียบคม เตี้ย กว้างตามแบบฉบับซูเปอร์คาร์ และด้านหน้า Solid Wing Face ที่เป็นเอกลักษณ์ของ Honda ล้อ Forged Aluminium ด้านหน้าจะเป็นขนาด 19 นิ้ว ส่วนด้านหลัง 20 นิ้ว ช่วงล่างแบบอิสระนั้นทำจากอะลูมิเนียมทั้งหน้า-หลังสปอร์ต โฉบเฉี่ยวล้ำสมัย

ภายในห้องโดยสารออกแบบโดยคำนึงถึงผู้ขับขี่เป็นหลัก เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถเพ่งสมาธิไปกับการขับขี่ได้อย่างเต็มที่

ภายในห้องโดยสารออกแบบโดยคำนึงถึงผู้ขับขี่เป็นหลัก เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถเพ่งสมาธิไปกับการขับขี่ได้อย่างเต็มที่

ภายในห้องโดยสารออกแบบโดยคำนึงถึงผู้ขับขี่เป็นหลัก เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถเพ่งสมาธิไปกับการขับขี่ได้อย่างเต็มที่ มาตรวัดต่าง ๆ ถูกรวมไว้ในจอแสดงผลแบบ LCD คมชัดสูง เบาะนั่งที่ถูกต้องตามหลักสรีรศาสตร์รองรับทุกส่วนได้อย่างยอดเยี่ยม นอกจากนี้ยังสะดวกต่อการลุกนั่งเพื่อเข้า-ออกห้องโดยสารด้วย

ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน V6 ขนาด 3.5 ลิตร DOHC Twin-Turbo ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว โดยมีมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวช่วยขับเคลื่อนที่ล้อหน้า และมอเตอร์ไฟฟ้าอีกหนึ่งตัวที่ล้อคู่หลัง พร้อมระบบเกียร์ 9 สปีด ดูอัลคลัตซ์ ให้กำลังสูงสุด 507 แรงม้า ที่ 6,500-7,500 รอบ/นาที และแรงบิด 550 นิวตันเมตร ที่ 2,000-6,000 รอบ/นาที ผสานการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์ด้วยระบบ Sport Hybrid SH-AWD สามารถปรับเปลี่ยนโหมดการขับขี่ได้อย่างอัจฉริยะ ดีไซน์ภายนอกสปอร์ต โฉบเฉี่ยวล้ำสมัย

ดูเพิ่มเติม
>> ส่องตลาดรถ Porsche ในไทยรุ่นไหนเหมาะกับใครบ้าง ?
>>
 ส่องรถสปอร์ต Hi-End ที่เปิดตัวภายในงาน Geneva Motor Show 2019

หาก Honda NSX มีการนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย ราคาอาจพุ่งสูงไปถึง 16 ล้านบาทโดยประมาณ

หาก Honda NSX มีการนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย ราคาอาจพุ่งสูงไปถึง 16 ล้านบาทโดยประมาณ

สำหรับ Honda NSX ที่ยังไร้วี่แววเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย มีราคาจำหน่ายในญี่ปุ่นอยู่ประมาณ 23 ล้านเยน หรือประมาณ 8 ล้านบาทไทย ซึ่งหากมีการจำหน่ายในไทยหลังจากที่รวมราคาภาษีที่ต้องจ่ายจะทำให้ราคาพุ่งไปถึง 16 ล้านบาทโดยประมาณ

3. Ford Mustang

ม้าป่าพันธุ์แกร่ง Ford Mustang ขุมพล Super Car ของ Ford

ม้าป่าพันธุ์แกร่ง Ford Mustang ขุมพล Super Car ของ Ford

Ford Mustang 2019 เข้าทำตลาดโดย ฟอร์ด ประเทศไทย โดย Ford Mustang ที่จะนำมาขายในประเทศไทยเป็นเจเนอเรชั่นที่ 6 โดยดีไซน์ของ Ford Mustang 2019 ได้รับการออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ ที่ปรับลดความสูงช่วงหน้า และเพิ่มขนาดของลิ้นหน้าเพื่อเพิ่มแรงกด แผงกันชนด้านหลังออกแบบให้อากาศไหลผ่านได้ดีขึ้น ลดแรงต้านลง 3 เปอร์เซ็นต์ พร้อมท่อไอเสียแบบ 4 ท่อ ในรุ่น V8 5.0 ลิตร และสปอยเลอร์เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรุ่น GT

ภายในติดตั้งอุปกรณ์มาตรฐานมาอย่างครบครัน ประกอบด้วย มาตรวัดความเร็วแบบดิจิตอล LCD ขนาด 12 นิ้ว สามารถปรับการแสดงผลตามโหมดการขับขี่ พร้อมฟีเจอร์ Electronic Line Lock ที่สามารถแสดงแอนิเมชั่นแบบวิดีโอเกมได้, หน้าจอทัชสกรีนกลางขนาด 8 นิ้ว SYNC 3 พร้อมระบบนำทาง รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto เสริมด้วยระบบความปลอดภัยของ ฟอร์ด มัสแตง 2019 ติดตั้งระบบเตือนการชน (Pre-Collision Assist) พร้อมระบบเบรกฉุกเฉิน, ระบบ Adaptive Cruise Control, ระบบแจ้งเตือนระยะห่าง Distance Alert, ระบบควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง Lane Keeping System เป็นต้น

Ford Mustang ติดตั้งขุมกำลังของ 2 แบบให้เลือก

Ford Mustang ติดตั้งขุมกำลังของ 2 แบบให้เลือก

Ford Mustang ติดตั้งขุมกำลังของ 2 แบบให้เลือก ได้แก่

- เครื่องยนต์เบนซิน EcoBoost ความจุ 2.3 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 300 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเฉลี่ย 10.8 กม./ลิตร ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ 217 กรัมต่อกิโลเมตร พร้อมฟังก์ชั่น Overboost ช่วยเพิ่มแรงดันอากาศจากเทอร์โบ

- เครื่องยนต์เบนซิน V8 ความจุ 5.0 ลิตร ระบบหัวฉีด Dual-Fuel ให้กำลังสูงสุด 460 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 556 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเฉลี่ย 7.8 กม./ลิตร ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ 297 กรัมต่อกิโลเมตร

พร้อม 6 โหมดการขับขี่ ได้แก่ Normal, Sport, Track, Snow/Wet และ 2 โหมดใหม่ คือ Drag Strip (โหมดแข่งทางตรง) และ My Mode (ตั้งค่าเอง) เพื่อปรับการทำงานของระบบควบคุมเสถียรภาพ, การตอบสนองต่อคันเร่ง, รูปแบบการเปลี่ยนเกียร์, พวงมาลัย และความดังของท่อไอเสีย Active Valve Performance Exhaust ที่สามารถปรับความดังของเสียงท่อไอเสียได้ตามต้องการ พร้อม Quiet Mode เพื่อให้ท่อไอเสียเงียบลง ลดการรบกวนเพื่อนบ้านหรือคนในชุมชน โดยเฉพาะขณะสตาร์ทเครื่องยนต์ในตอนเช้า

สนใจรถมือสอง Ford Mustang ราคาถูกใจคุณเชิญที่นี่

Ford Mustang 2019 มี 2 รุ่นให้เลือก โดยมีราคาอยู่ที่ 3,599,000 บาท​ และ 4,799,000 บาท​

Ford Mustang 2019 มี 2 รุ่นให้เลือก โดยมีราคาอยู่ที่ 3,599,000 บาท​ และ 4,799,000 บาท​

ตัวถังของ Ford Mustang 2019 มีให้เลือกทั้งหมด 4 สี ได้แก่ สีส้ม Orange Fury Metallic Tri-Coat, สีดำ Shadow Black Metallic, สีแดง Race Red และสีเทา Magnetic Metallic มีราคาจำหน่ายดังนี้ Ford Mustang 2019 รุ่น 2.3L EcoBoost Coupe Performance Pack ราคา 3,599,000 บาท และ Ford Mustang 2019 รุ่น 5.0L V8 GT Coupe Performance Pack ราคา 4,799,000 บาท

4. Lamborghini Aventador

Lamborghini Aventador S Roadster 2018 ​มาพร้อมกับสีน้ำเงิน Blue Aegir เป็นสีพิเศษทีได้แรงบันดาลใจจากสีของผืนน้ำมหาสมุทร​

Lamborghini Aventador S Roadster 2018 ​มาพร้อมกับสีน้ำเงิน Blue Aegir เป็นสีพิเศษทีได้แรงบันดาลใจจากสีของผืนน้ำมหาสมุทร​

Lamborghini Aventador S Roadster 2018 เปิดตัวสู่สาธารณชนครั้งแรกในโลกที่งานแฟรงค์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์ 2018 เป็นการเปิดตัวต่อเนื่องจากการเปิดตัว Lamborghini Aventador S Coupe สำหรับรูปลักษณ์ภายนอกของ Lamborghini Aventador S Roadster 2018 ได้รับการปรับปรุงเหมือนกับรุ่นคูเป้ ติดตั้งแผงหลังคาฮาร์ดท็อปน้ำหนักเบาเพียง 6 กิโลกรัมเท่านั้น หลังคามีให้เลือกทั้งสีดำด้านคาร์บอน หรือดำเงาคาร์บอน

ตัวถังภายนอกมาพร้อมกับสีน้ำเงิน Blue Aegir เป็นสีพิเศษทีได้แรงบันดาลใจจากสีของผืนน้ำมหาสมุทร ส่วนในห้องโดยสารมีทั้งวัสดุหนัง และอัลคันทาร่าให้เลือกสรร ระบบเบรกเป็นคาร์บอนเซรามิกมาตรฐาน มาพร้อมล้อขนาด 20 นิ้วและ 21 นิ้ว หุ้มด้วยยางพิเรลลี พี ซีโร่ มาตรวัดเป็นหน้าจอดิจิตอล TFT โดยสามารถเชื่อมต่อกับแอปเปิลคาร์เพลย์ผ่านระบบอินโฟเทนเมนท์ รวมทั้งมีบริการการตกแต่งภายในรถแบบ customization ตามความชอบส่วนตัว ที่สามารถตอบสนองทุกความต้องการผ่าน Ad Personam Customization Program

สำหรับ Lamborghini Aventador S Roadster 2018 มีน้ำหนักตัวถังอยู่ที่ 1,625 กก. สนนราคาเริ่มต้น 38.7 ล้านบาท

สำหรับ Lamborghini Aventador S Roadster 2018 มีน้ำหนักตัวถังอยู่ที่ 1,625 กก. สนนราคาเริ่มต้น 38.7 ล้านบาท

สำหรับ Lamborghini Aventador S Roadster 2018 มีน้ำหนักตัวถังอยู่ที่ 1,625 กก. หรือหนักกว่ารุ่นคูเป้ราว 50 กก. ติดตั้งขุมพลังขับเคลื่อนเป็นแบบเดียวกับรุ่นคูเป้ คือ เครื่องยนต์เบนซินขนาด 6.5 ลิตร V12 กำลัง 740 แรงม้า แรงบิด 690 นิวตันเมตร ความเร็วสูงสุด 350 กม./ชม. (217 ไมล์/ชม.) ที่แตกต่างคืออัตราเร่งโดยตังถังโรดสเตอร์ มีอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 3.0 วินาที ช้ากว่าตัวถังคูเป้ 0.01 วินาที พร้อมระบบขับเคลื่อนเป็นแบบ 4 ล้อตลอดเวลาพร้อมระบบล็อคเฟืองท้ายและระบบบังคับเลี้ยว 4 ล้อ Lamborghini Aventador S Roadster ให้อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 3.0 วินาที (ช้ากว่ารุ่นหลังคาแข็งเพียง 0.1 วินาที)  และจาก 0 – 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 9.0 วินาที ความเร็วสูงสุดเท่ากับรุ่นหลังคาแข็งที่ 350 กิโลเมตร/ชั่วโมง สำหรับ Lamborghini Aventador S Roadster 2018 มีสนนราคาเริ่มต้น 38.7 ล้านบาท

5. McLaren 750S

McLaren 720S อยู่ในกลุ่มรถ Super Series ของ McLaren รูปลักกษณ์ภายนอกได้รับแรงบันดาลใจจากรูปทรงของฉลาม​

McLaren 720S อยู่ในกลุ่มรถ Super Series ของ McLaren รูปลักกษณ์ภายนอกได้รับแรงบันดาลใจจากรูปทรงของฉลาม​

McLaren 720S อยู่ในกลุ่มรถ Super Series ของ McLaren เปิดตัวเป็นครั้งแรกในเมืองไทยที่งาน Bangkok International Motor Show ปี 2017 รูปลักษณ์ภายนอกของ McLaren 720S นำเสนอดีไซน์ที่สวยเฉียบ โดยได้รับแรงบันดาลใจจากรูปทรงของฉลาม ใช้โครงช่วงล่างคาร์บอนไฟเบอร์แบบ Monacage II ซึ่งทำให้น้ำหนักเบาลงถึง 18 กิโลกรัมเมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นก่อนหน้า นอกจากนี้ส่วนที่เป็นคาร์บอนจะเลยมาถึงเสา A-pillar เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับตัวถัง ประตูรถแบบ Twin-hinged Dihedral doors ซึ่งเวลาเปิด จะกางออกโดยยกตัวขึ้นและเลื่อนไปข้างหน้า และกินเนื้อที่บริเวณกระจกตรงหลังคาไปด้วย ทำให้คนตัวสูงสามารถเข้าออกจากรถได้ง่าย

จุดเด่นของ McLaren 720S คือประสิทธิภาพของระบบอากาศพลศาสตร์ มาพร้อมระบบขับเคลื่อน Proactive Chasis Control ll

จุดเด่นของ McLaren 720S คือประสิทธิภาพของระบบอากาศพลศาสตร์ มาพร้อมระบบขับเคลื่อน Proactive Chasis Control ll

McLaren 720S จึงเป็นยานยนต์ที่เปี่ยมด้วยพลัง เร็วแรงสะใจ ด้วยน้ำหนักเบาที่สุดในกลุ่มรถยนต์ที่มีกำลังแรงม้าในระดับเดียวกัน จุดเด่นของ McLaren 720S คือประสิทธิภาพของระบบอากาศพลศาสตร์ที่ถือเป็นดีเอ็นเอแห่งสมรรถนะชั้นสุดยอด มาพร้อม Proactive Chasis Control ll ซึ่งเป็นระบบการขับเคลื่อนชั้นสูงที่ดีที่สุดของโลก และระบบควบคุมการทรงตัวแบบแปรผันที่ช่วยให้นักขับสามารถควบคุมรถได้อย่างดีเยี่ยม และมอบการพุ่งทะยานที แสนเร้าใจในทุกสภาวะ

ภายในห้องโดยสารติดตั้งเบาะนั่งหุ้มด้วยหนังแบบปรับไฟฟ้า พวงมาลัยปรับได้ 4 ทิศทาง ติดตั้งปุ่มควบคุมตรง Lower stack ของคอนโซลกลาง และแดชบอร์ดใกล้หัวเข่าซ้ายคนขับ นอกจากนี้คอนโซลกลางยังเป็นจอทัชสกรีนขนาดใหญ่ สามารถใช้เพื่อแสดงระบบนำทางระบบบันเทิง หรือแม้แต่การปรับความเย็นแอร์ โดยการสัมผัสหน้าจอ หน้าปัดของ 720S เป็นแบบจอ TFT ซึ่งสามารถปรับการแสดงผลบนหน้าจอได้หลายแบบ และยังสามารถปรับเป็น Race Mode ซึ่งจะพับหน้าปัดลงโชว์แต่ข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการขับแบบแข่งขัน การพับหน้าปัดลงนี้ก็เพื่อให้ผู้ขับได้พื้นที่ทัศนวิสัยด้านหน้าของรถให้เพิ่มขึ้น

McLaren 720S มีราคาจำหน่ายในไทยเริ่มต้นที่ 26.5ล้านบาท

McLaren 720S มีราคาจำหน่ายในไทยเริ่มต้นที่ 26.5ล้านบาท

มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซิน รหัส M840T V8 90 องศา ขนาด 4.0 ลิตร 3,994 ซีซี. เทอร์โบแบบ Twin-scroll พร้อมเวสต์เกตไฟฟ้า 2 ลูก 32 วาล์ว ขนาดปากกระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก เท่ากับ 93.0 x 73.5 มิลลิเมตร ให้พลังสูงสุด 720 แรงม้า (PS) ที่ 7,250 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 770 นิวตันเมตรที่ 5,500 รอบต่อนาที ใช้อ่างน้ำมันเครื่องแบบ Dry Sump รองรับการใช้งานให้ลากรอบเครื่องได้สูงสุด 8,500 รอบต่อนาที ระบบส่งกำลัง เป็นแบบคลัตช์คู่ SSG (Seamless Shift Gearbox) 7 จังหวะ โดย McLaren 720S คันนี้มีราคาจำหน่ายในไทยเริ่มต้นที่ 26.5ล้านบาท

ดูเพิ่มเติม
>>
 มาแรงแซงทุกโค้งกับ Ferrari F8 Tributo ขึ้นแท่นชิงบัลลังก์แทนที่ 488 GTB
>>
 ว่าด้วยเรื่องของ NISSAN GT-R50 กับ Italdesign รูปสวยแต่ราคาแสนโหด

เป็นอย่างไรบ้างคะ สำหรับรถ Super Car 2 ประตูทั้ง 5 รุ่นนี้ เรียกได้ว่าเป็นสุดยอดรถของแต่ละค่ายเลยทีเดียวนะคะ โดยมีถึง 4 รุ่นด้วยกันที่มีจำหน่ายในไทย ส่วน Honda NSX ที่มีการโชว์ตัวไปในงาน Motor Expo 2018 ที่ผ่านมาแม้ว่าจะยังไม่จำหน่ายในประเทศไทย แต่ก็น่าลุ้นไม่เบานะคะ เพราะหลายรุ่นก็เริ่มเข้ามาทำตลาดรถยนต์เพอร์ฟอร์แมนซ์สูงในประเทศไทยแล้ว ทางนี้ก็ได้แต่หวังเล็กๆ ว่า Honda NSX จะมีข่าวดีกับเขาบ้าง และอย่าลืมนะคะ สำหรับข่าวสารเรื่องราวดีๆ เกี่ยวกับวงการรถยนต์สามารถติดตามได้ที่ Chobrod.com ค่ะ

ติดตามข่าวสารรถยนต์ เชิญที่นี่
ต้องการซื้อรถมือสองสภาพดี เชิญเข้าดูที่ตลาดรถตรงนี้

แท็ก Lamborghini Aventador