“เสี่ยงตาย-ชนกันง่าย”คนมะกันกังวล “รถยนต์ไร้คนขับ”

ตลาดรถยนต์ต่างประเทศ | 19 มี.ค 2562
แชร์ 0

ผลสำรวจของสหรัฐฯ เกี่ยวกับรถยนต์ไร้คนขับ ชี้ชัดถึง 71% กังวลว่าไม่ปลอดภัย หลังมีเหตุรถยนต์ไร้คนขับชนคนตาย แต่ค่ายรถยักษ์ใหญ่ขอเดินหน้าพัฒนาต่อ

นับเป็นอีกหนึ่งข้อมูลที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะล่าสุดเสียงสะท้อนจากผู้คนเกี่ยวกับเทคโนโลยี "รถยนต์ไร้คนขับ" โดยเฉพาะในต่างประเทศ ก็เกิดทิศทางของความ “กลัว” บังเกิดขึ้นกันแล้ว สิ่งที่คนต่างชาติกลัวกับเทคโนโลยีเจ้ารถยนต์ไร้คนขับ ที่คาดหมายว่าในอนาคตอันไม่นานเกินรอ มันจะออกมาสู่ท้องตลาดรถและมันจะเป็นอีกบทบาทของยานยนต์อนาคตที่จะเกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่สำหรับ “อุบัติเหตุ” อันเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งนี้เอง มันจึงทำให้ข้อกังวลเกิดขึ้น

รถยนต์ไร้คนขับ กำลังถูกตั้งคำถามจากตลาดรถอเมริกา

รถยนต์ไร้คนขับ กำลังถูกตั้งคำถามจากตลาดรถอเมริกา

ล่าสุดกับผลสำรวจของสมาคมยานยนต์สหรัฐอเมริกา หรือ American Automobile Association (AAA) สะท้อนผลสำรวจเกี่ยวกับเรื่องรถยนต์ไร้คนขับกับคนอเมริกัน และทำให้เห็นคำตอบว่าคนอเมริกันกลัวเรื่องรถยนต์ไร้คนขับจะก่ออุบัติเหตุบนท้องถนนอย่างมาก ซึ่งมีถึง 7 ใน 10 คนทีเดียวที่ไม่ต้องการเดินทางไปพร้อมกับรถยนต์ไร้คนขับที่วิ่งบนท้องถนน

ดูเพิ่มเติม
>> 
โฮ่งเหล็ก Delivery! ยาง Continental ผสานเทคโนโลยีไร้คนขับกับหุ่นยนต์ส่งของในงาน CES 2019
>> วงการรถยนต์ยังล้ำไม่หยุดกับ Robomart ตลาดสดเคลื่อนที่

หรือหากให้คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ก็พบว่ามีมากถึง 71% ที่ American Automobile Association (AAA) ไปสำรวจเอาไว้ และผลของการสำรวจครั้งนี้ในปี 2562 ก็ไม่ได้แตกต่างจากปีที่ผ่านมา หรือแม้แต่ 3 ปีก่อนที่เทคโนโลยีไร้คนขับถูกพัฒนาและมีการสำรวจเก็บสถิติเอาไว้ มันทำให้สะท้อนว่าความกังวลเกี่ยวกับรถยนต์ไร้คนขับไม่ใช่ของใหม่ แต่ยิ่งเพิ่มข้อกังวลเข้ามาอีก เพราะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นในรัฐอริโซน่า เมื่อรถยนต์ไร้คนขับของ ของ Uber Technologies Inc. ไปชนคนตาย แม้จะมีคนขับที่เป็นมนุษย์คอยควบคุมหลังพวงมาลัยก็ตาม

เพราะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากรถยนต์ไร้คนขับมันส่งผลกระทบถึงชีวิตแล้ว

เพราะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากรถยนต์ไร้คนขับมันส่งผลกระทบถึงชีวิตแล้ว

และจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้นเอง ทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์ที่พัฒนารถยนต์ไร้คนขับต้องถูกจับตามองอีกครั้ง แต่ไม่ใช่มองกันในแง่ของเทคโนโลยี หากแต่ต้องลงรายเอียดอย่างชัดเจนและพิเคราะห์ถึงผลดีผลเสียของเทคโนโลยียานยนต์ไร้คนขับอย่างถี่ถ้วนทีเดียว เพราะเหตุการณ์ที่เกิดในอริโซน่า นับเป็นครั้งแรกที่รถยนต์ไร้คนขับชนเข้ากับคนจนเป็นเหตุให้เสียชีวิต ซึ่งผลที่ว่านี้จะมีเหตุผลเพียงพอหรือไม่ให้กลุ่มผู้ผลิต และนักพัฒนายานยนต์เทคโนโลยีตรวจสอบรถยนต์ไร้คนขับให้ชัดเจนยิ่งขึ้น มากกว่าการแข่งขันกันเอง และเพิ่มยอดขายให้กับองค์กร อันหมายถึงผลกำไรนั่นเอง

ผลที่ว่าทำให้สอดรับกับนักทดลองทางวิทยาศาสตร์จาก MIT ของสหรัฐฯ ที่ชื่อว่า Bryan Reimer ซึ่งเขาได้ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องรถยนต์ไร้คนขับ และออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีนี้ในระดับใหญ่นี้ไว้อย่างน่าสนใจ โดยย้ำตอนหนึ่งกับสื่อต่างประเทศว่า “นี่คือหลักฐานว่ามันยังไม่ใช่แบบที่เราคิด จนกว่าเราจะเข้าใจถึงการทดสอบและใช้งานระบบให้ดีกว่านี้ เราต้องใช้เวลากับมันและค่อยๆเข้าใจวิวัฒนาการของเทคโนโลยีชนิดนี้”

แต่บรรดาค่ายรถยนต์ต่างก็ต้องการพัฒนาระบบต่อไป

แต่บรรดาค่ายรถยนต์ต่างก็ต้องการพัฒนาระบบต่อไป

กระนั้นก็ตาม แม้สาธารณะจะมีข้อกังวลถึงความปลอดภัย แต่ก็ไม่ได้ทำให้ค่ายผู้ผลิต หรือผู้เชี่ยวชาญจะหยุดพัฒนารถยนต์ไร้คนขับต่อไป แต่ยังคงเรียกได้ว่าทุ่มสุดตัวกับโปรเจกแห่งอนาคตนี้อย่างเต็มพิกัด เห็นได้จาก Honda ยักษ์ใหญ่วงการรถยนต์โลก ที่ร่วมกับกองทุน SoftBank ของญี่ปุ่นเอง ซึ่งได้ลงทุนไปถึง 5,000 ล้านดอลล่าห์สหรัฐอเมริกาในเครือของ เจนเนอรัลมอเตอร์ เมื่อปีที่แล้ว และ Volkswagen AG กำลังเจรจาเกี่ยวกับการลงทุนใน Argo AI ของฟอร์ดมอเตอร์ ผลการศึกษาของ AAA ชี้ให้เห็นว่าความคิดเห็นของประชาชนอาจเป็นความท้าทายที่สูงมาก เมื่อถึงเวลาต้องโน้มน้าวให้ลูกค้าใช้บริการขนส่งในอนาคต

หรือรวมไปถึง Google ก็กระโดดลงมาเล่นกับเทคโนโลยีไร้คนขับด้วยเช่นกัน เห็นได้จากข่าวความคืบหน้าของโปรเจก ที่จะส่งรถยนต์ไร้คนขับออกมาให้บริการกับการเดินทางในปลายปี 2562 นี้ โดยเริ่มทดลองกันที่เมืองฟีนิกซ์ ส่วนแบรนด์รถยนต์ของโลกอีกค่ายอย่าง GM วางแผนให้บริการรถเช่าแบบไม่ใช้คนขับในสหรัฐฯ ปลายปีนี้เช่นกัน ในขณะที่ทุกวันนี้รถยนต์ทดสอบที่ไม่มีคนขับก็ยังคงสะสมไมล์บนถนนสาธารณะในรัฐต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น แคลิฟอร์เนีย แอริโซนา ฟลอริดา เพนซิลเวเนียและมิชิแกน อย่างต่อเนื่อง

แน่นอนว่าสำหรับอนาคต เราเลี่ยงไม่ได้ที่จะไม่เจอรถยนต์ไร้คนขับบนท้องถนน

แน่นอนว่าสำหรับอนาคต เราเลี่ยงไม่ได้ที่จะไม่เจอรถยนต์ไร้คนขับบนท้องถนน

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ต่างประเทศมองว่า ทางเลือกสำหรับเทคโนโลยีไร้คนขับที่จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้คน อาจจะใช้รูปแบบการ “บังคับ” รถยนต์ด้วยมนุษย์หลังพวงมาลัย ควบคู่ไปกับเทคโนโลยีไร้คนขับไปด้วย เพราะแม้รถยนต์จะเดินทาด้วย “ตัวของมันเองได้” แต่การที่มีมนุษย์มานั่งด้วยอาจจะทำให้สร้างความมั่นใจได้ในระดับหนึ่งว่าเกิดเหตุฉุกเฉินแล้ว จะควบคุมรถยนต์ได้ผ่านสติสัมปชัญญะของมนุษย์นั่นเอง

เพราะในอนาคตแน่นอนว่าโลกยานยนต์ และโลกมนุษย์ก็ไม่อาจเลี่ยงได้กับเทคโนโลยีไร้คนขับ เพราะถึงอย่างไรมันก็ต้องมาแน่นอน

ดูเพิ่มเติม
>> 
ตามไปดู เทคโนโลยีที่น่าจะเป็นจริงได้ในปี2019, 2020
>> "เนเธอแลนด์”เบอร์หนี่งของโลก พร้อมที่สุดกับ “รถยนต์ไร้คนขับ”

วันนี้ Chobrod.com คงต้องลากันไปก่อน ครั้งหน้ายังมีความรู้ในตลาดรถมาให้ติดตามกันอีก อย่าพลาดกันน้า

เลือกซื้อรถมือสอง มากมายที่นี่