จีนคือเหตุผลหลัก ปี 62 กำไรตลาดรถยนต์โลกส่อหดตัว

ตลาดรถยนต์ต่างประเทศ | 12 ก.พ 2562
แชร์ 3

3 ค่ายยักษ์ผู้ผลิตรถยนต์ของโลกพร้อมใจปรับกลยุทธ์-อัดงบลงทุน รับมือเศรษฐกิจจีนผันผวนหวังคงกำไรและยอดขาย ขณะที่ตลาดอาเซียนจับตาเวียดนาม หลังมีแนวโน้มกำลังซื้อรถยนต์ดีขึ้นต่อเนื่อง

นับเป็นปัจจัยหลักอย่างแท้จริง สำหรับการเคลื่อนเศรษฐกิจของปรเทศจีน ที่หากเศรษฐกิจมีอัตราการเติบโต ก็จะส่งผลพลอยได้ให้อุตสาหกรรมยานยนต์ของโลกได้ขยับตาม แต่ในทางกลับกัน หากเกิดข้อผิดพลาด เศรษฐกิจในแผ่นดินใหญ่ชะลอตัว ก็ส่งผลให้ยอดขายยอดทำกำไรของยานยนต์โลกต้องลดลงด้วยเช่นกัน

เพราะล่าสุดสื่อนอกหลายสำนัก รายงานออกมาว่า บริษัท โตโยต้า มอเตอร์, บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ หรือจีเอ็ม และ บริษัท เดมเลอร์ 3 ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตรถยนต์ของโลก ที่มียอดขายรถยนต์และส่งออกมากถึงในอัตราส่วน 1 ใน 5 ของยอดขายทั้งหมดทั่วโลก ก็มีสัญญาณว่าตลาดรถยนต์ของโลกในปี 2562 อาจจะชะลอตัว

3 ค่ายยักษ์ผลิตรถยนต์ของโลก ต่างต้องปรับตัวเพื่อรองรับตลาดของประเทศจีนที่ผันผวน

3 ค่ายยักษ์ผลิตรถยนต์ของโลก ต่างต้องปรับตัวเพื่อรองรับตลาดของประเทศจีนที่ผันผวน

เสียงเตือนจาก 3 ค่ายยักษ์รถยนต์ของโลกสะท้อนออกมาผ่านบทรายงานของสื่อใหญ่อย่าง ไฟแนนเชี่ยล ไทมส์ พร้อมกับเหตุผลว่า “สภาวะเศรษฐกิจของจีนเกิดการชะลอตัว” จึงเป็นผลให้ค่ายรถยนต์จะต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อเข้าไปแย่งส่วนแบ่งการของตลาดรถยนต์ของโลก ที่ต้องบอกว่าปรับเปลี่ยนกลยุทธ์นั้น ก็เพราะจากการที่เศรษฐกิจจีนชะลอตัว ซึ่งกลุ่มผู้บริโภคของจีนที่เป็นตลาดซื้อรถยนต์รายใหญ่ของโลก ก็ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและรสนิยมการเลือกซื้อเลือกใช้รถยนต์กัน ผลที่ว่าจึงทำให้ค่ายรถยนต์ถูก “บีบ” ให้ต้องปรับแผนและเพิ่มงบลงทุนมหาศาลหากจะครองตลาดรถในประเทศจีน ที่มีเหล่าอาตี๋-อาหมวย เป็นกำลังซื้อหลัก

ดูเพิ่มเติม
>> 
9 บริษัทในจีนที่กำลังตั้งตัวเป็นคู่แข่ง Tesla
>> Google เผย ! ผลการวิจัยจากพฤติกรรมการซื้อรถยนต์ของคนไทย

เจาะลงไปที่ตัวเลขกำไรที่ถูกปรับลดลงมาของแต่ละค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ทั้ง 3 แห่งของโลก ก็ทำให้เห็นภาพกลยุทธ์ที่ชัดเจนขึ้น โดยกับโตโยต้าเอง ที่ปรับลดการคาดการณ์ผลกำไรเมื่อสิ้นสุดในเดือนมีนาคม 2562 มาอยู่ที่ 1.87 ล้านล้านเยน หรือคิดเป็นเงินไทยก็ราว 5.32 แสนล้านบาท หรือลดลงถึง 19% จากการคาดการณ์เดิม หลังกำไรสุทธิที่หักค่าบวกลบต่างๆ ของไตรมาสที่ 4 ในปี 2561 ได้ตัวเลขสุดท้ายที่ 1.8 แสนล้านเยน หรือราว 5.14 ล้านบาท แต่หากคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ ตัวเลขกำไรในโค้งสุดท้ายของปี 2561 ของโตโยต้า ก็หายไปถึง 81% เลยทีเดียวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2560 

เพราะรสนิยมการเลือกซื้อรถยนต์ของคนจีนที่เปลี่ยนไป ผู้ผลิตรถยนต์ต้องปรับกลยุทธ์ตามหากยังต้องการส่วนแบ่ง

เพราะรสนิยมการเลือกซื้อรถยนต์ของคนจีนที่เปลี่ยนไป ผู้ผลิตรถยนต์ต้องปรับกลยุทธ์ตามหากยังต้องการส่วนแบ่ง

ขณะที่ บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ หรือจีเอ็ม ที่มองตลาดว่า ยอดขายในประเทศจีนสำหรับปี 2562 นี้จะขยับขึ้นเพียง “เล็กน้อย” แต่ที่จะเพิ่มขึ้นและปรับสูงขึ้น คือต้นทุนการผลิตรถยนต์ของค่ายผู้ผลิต เพราะผลพวงจากสงครามการค้าระหว่างสองชาติมหาอำนาจของโลกคือ สหรัฐอเมริกาและจีน ที่อาจจะส่งผลให้ฉุดผลประกอบการของค่ายยานยนต์จีเอ็มลดลงถึง 1,000 ล้านดอลล่าห์สหรัฐฯ​ หรือคิดเป็นเงินไทยราว 3.12 หมื่นล้านบาท หากการคาดการณ์ดังกล่าวของจีเอ็มเป็นจริง ก็เท่ากับว่ากำไรไตรมาสสุดท้ายของปี 2561 ลดลงไปถึง 8% มาอยู่ที่ 2,800 ล้านดอลล่าห์สหรัฐฯ​ หรือราว 8.75 หมื่นล้านบาท

ไม่ต่างจากบริษัท เดมเลอร์ ที่เจอการผันผวนของเศรษฐกิจจีน ทำให้บริษัทต้องเตรียมแผนปรับลดต้นทุนในหลายๆ ด้าน เพื่อรองรับการลงทุนเทคโนโลยีใหม่ๆ ในยานยนต์เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค นั่นคื รถยนต์พลังงานไฟฟ้า และรถยนต์ไร้คนขับ แต่ทั้งหมดทั้งมวลก็ต้องใช้การลงทุนมหาศาลทีเดียว

ต้องยอมรับในปัจจุบัน ตลาดรถยนต์ของจีนทำให้หลายค่ายต่างจ้องตาเป็นมัน

ต้องยอมรับในปัจจุบัน ตลาดรถยนต์ของจีนทำให้หลายค่ายต่างจ้องตาเป็นมัน 

ไม่เพียงแต่ 3 ค่ายยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตรถยนต์ของโลกที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจจีนเท่านั้น ฟากฝั่งยุโรปในประเทศสวีเดน แบรนด์ดังอย่าง Volvo ก็ออกมายอมรับว่า แม้ในปี 2562 อาจจะเป็นปีทองของการขยายตัวของ Volvo เพราะมีแผนการขยายการผลิตที่ได้เดินหน้าไปแล้ว แต่ก็ต้องอยู่ภายใต้ภาวะความกดดันของตลาดรถยนต์ ซึ่งสิ่งที่สะท้อนได้ชัดเจน คือ กำไรจากไตรมาส 4 ของปี 2561 เพิ่มขึ้นไม่ถึง 1% หรือได้เพียง 0.9% เท่านั้น และมียอดกำไรที่ 14.2 หมื่นล้านโครนา หรือราว 4.81 หมื่นล้านบาท แม้ผลกำไรรวมจะขยับขึ้นมาถึง 21% ในปี 2561 ที่ 2.25 แสนล้านโครนา หรือ 8.57 แสนล้านบาทก็ตาม แต่ผลการเติบโตในโค้งสุดท้ายของปีที่แล้ว ก็ทำให้เกิดความกดดันไม่น้อยสำหรับปี 2562 นี้

แต่สำหรับตลาดรถยนต์ในภูมิภาคอาเซียน ที่ยักษ์ใหญ่ในตลาดรวม 6 ชาติของภูมิภาคนี้ คือ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และสิงคโปร์ ยอดขายรวมในปี 2561 อยู่ที่ 3.57 ล้านคัน (ของไทยขายได้รวม 1.03 ล้านคันในปี 2561) ซึ่งเพิ่มขึ้น 6% จากปี 2560 และนับเป็นการขยายตัวถึง 3 ปีติดต่อกัน โดยเฉพาะกับอินโดนีเซีย ที่กลายเป็นตลาดรถรายใหญ่ที่สุดของภูมิภาค ซึ่งขายรถไปได้ในประเทศนี้ถึง 1.15 ล้านคัน หรือเพิ่มขึ้น 7% เลยทีดียว

แม้จะดูแล้วทิศทางของภูมิภาคอาเซียนจะสวยหรูสำหรับตลาดรถยนต์ แต่ก็คงไม่อาจเบาใจได้สำหรับค่ายผู้ผลิตต่างๆ เพราะจากการคาดการณ์ของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่มองว่า ยอดขายรถยนต์ในประเทศไทยอาจลดลงถึง 5% และสอดรับกับการคาดการณ์ของประเทศอินโดนีเซีย และมาเลเซีย ที่สะท้อนว่ายอดขายรถยนต์ในปี 2562 อาจจะไม่ขยายตัวด้วยเช่นกัน

ตลาดเวียดนามถือว่าน่าจับตาเช่นกัน กับทิศทางการส่งออกรถยนต์ของภูมิภาคอาเซียน

ตลาดเวียดนามถือว่าน่าจับตาเช่นกัน กับทิศทางการส่งออกรถยนต์ของภูมิภาคอาเซียน

กระนั้น ตลาดรถในภูมิภาคอาเซียนก็ยังพอมองเห็นโอกาสและแสงสว่างอยู่บ้าง เพราะสัญญาณ​จากกลุ่มตลาดรถยนต์ในประเทศเวียดนาม ที่เมื่อช่วงปลายปี 2561 พบว่ามียอดการขยายตัวที่เพิ่มขึ้นอยู่เช่นกัน

ซึ่งเรื่องนี้ น.ส.พรรณกาญจน์ เจียมสุชน ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ หรือ ทูตพาณิชย์ ณ กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม เปิดเผยข้อมูลว่า ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เวียดนามนำเข้ารถยนต์ประมาณ 13,000 คัน มีมูลค่ากว่า 260 ล้านเหรียญดอลล่าห์สหรัฐฯ ซึ่งเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นถึง 2,000 คัน

โดยปริมาณการซื้อที่เพิ่มขึ้นในช่วงดังกล่าวเป็นผลจากความต้องการซื้อที่เพิ่มมากขึ้นในช่วงปลายปี โดยคาดการณ์ว่า ตลาดรถยนต์จะกลับมาคึกคักในอนาคตอันใกล้ หลังจากที่ต้องเผชิญกับความยากลำบากจากมาตรการการนำเข้ารถยนต์ ที่มีผลบังคับใช้ โดยประเทศไทยและอินโดนีเซียเป็นผู้ส่งออกรถยนต์รายสำคัญไปยังประเทศเวียดนาม

กการเพิ่มขึ้นของการซื้อรถยนต์ในโค้งสุดท้ายของปี 2561 ทำให้เวียดนามถูกจับตามองจากผู้ส่งออกรถยนต์ทันที

จากการเพิ่มขึ้นของการซื้อรถยนต์ในโค้งสุดท้ายของปี 2561 ทำให้เวียดนามถูกจับตามองจากผู้ส่งออกรถยนต์ทันที

และการฟื้นตัวของตลาดรถยนต์ในเวียดนามเป็นโอกาสดี สำหรับผู้ประกอบการและผู้ส่งออกสินค้ายานยนต์และชิ้นส่วนจากประเทศไทย ในการขยายตลาดรถมายังประเทศเวียดนามให้มากขึ้น โดยในช่วง 11 เดือนแรก ของปี 2561 เวียดนามนำเข้ารถยนต์จำนวน 65,770 คัน มีปริมาณเพิ่มขึ้น 21.6% คิดเป็นมูลค่า 1,450 ล้านเหรียญดอลล่าห์สหรัฐฯ เลยทีเดียว

ดูเพิ่มเติม
>> 
ตลาดรถจีนฟุบรอบ 20 ปี เผย’61ยอดขายหาย 6%
>> อินโดนีเซียวางแผนร่างนโยบายกระตุ้นรถ EV

ติดตามข่าวสารรถยนต์ เชิญที่นี่  
ต้องการซื้อรถมือสองสภาพดี เชิญเข้าดูที่ตลาดรถตรงนี้